วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผู้ว่าฯ อุดรประเดิมทำพาสปอร์ตรุ่นใหม่คนแรกของจังหวัด


อุดรธานี-ผู้ว่าฯ อุดร ประเดิมทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ รุ่นใหม่ รับ AEC คนแรกของจังหวัด
      
       วันที่ 8 ก.พ.56  นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ได้เดินทางมาเป็นผู้นำใช้บริการจัดทำหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่คนแรก ที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ซึ่งวันนี้ ทางสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราวได้เปิดให้บริการจัดทำหนังสือเดินทางรุ่นใหม่เป็นวันแรก
      
       นางสมฤดี พู่พรอเนก หัวหน้าสำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว อุดรธานี กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการเริ่มใช้หนังสือเดินทาง E-Passport รุ่นแรกตั้งแต่ปี 2548 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2546 จากนั้นได้พัฒนาระบบหนังสือเดินทาง E-Passport เป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ส่วนกลาง
      
       สำหรับส่วนภูมิภาค วันนี้ (8 ก.พ.) ได้เริ่มเปิดให้บริการเป็นวันแรกพร้อมกัน 4 แห่ง คือ อุดรธานี ขอนแก่น นคราชสีมา และอุบลราชธานี
      
       สำหรับหนังสือเดินทาง E-Passport เป็นหนังสือเดินทางที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ โดยภายในหนังสือเดินทางจะมีการบันทึกข้อมูลทางชีวภาพของผู้ขอทำหนังสือเดินทาง เช่น การบันทึกลายนิ้วมือ ภาพถ่าย และนำข้อมูลที่ได้บันทึกลงในรูปแบบชิปซึ่งมีการฝั่งลงภายในหนังสือที่บริเวณด้านหลัง
      
       ทั้งนี้ ความแตกต่างของหนังสือเดินทางรุ่นใหม่นั้น จะมีการเพิ่มหน้าขึ้นอีก 14 หน้า และมีการเก็บลายนิ้วมือทั้ง 10 นิ้ว มีการเพิ่มความจุของไมรโครชิปเป็น 64 KB พร้อมได้ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจาก CC-EAL (Common Criteria Evaluation Assurance Level) และระยะเวลาที่ใช้จะนานกว่าเดิม 10 นาที ในส่วนค่าธรรมเนียมการจัดทำ ประมาณ 1,000 บาทขึ้นไป
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

นครพนมโรงพักร้าง 7 แห่ง หนักสุด สภ.นาหว้ามีแค่เสา 10 ต้น


 นครพนม - ผู้รับเหมาทิ้งงานสร้างโรงพักในนครพนมร้าง 7 แห่ง หนักสุดพบที่ สภ.นาหว้า มีแค่เสาเหล็กเส้น 10 ต้น
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดนครพนมว่า หลังจากที่มีข่าวปัญหาเกี่ยวกับบริษัทผู้รับเหมาทิ้งงานโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรทั่วประเทศ โดยในส่วนของ จ.นครพนม จากการตรวจสอบพบว่ามีสถานีตำรวจที่ประสบปัญหาการก่อสร้างโรงพักแล้วผู้รับเหมาทิ้งงานจำนวนทั้งสิ้นถึง 7 แห่ง
      
       ประกอบด้วย 1. สถานีตำรวจภูธรตำบลหนองฮี อ.ปลาปาก 2. สถานีตำรวจภูธรตำบลหนองบ่อ อ.นาแก 3. สถานีตำรวจภูธรตำบลนาโดน อ.เรณูนคร 4. สถานีตำรวจภูธรอำเภอนาหว้า 5. สถานีตำรวจภูธรตำบลพระซอง อ.นาแก 6. สถานีตำรวจภูธรตำบลกุตาไก้ อ.ปลาปาก และ 7. สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีสงคราม
      
       จากการตรวจสอบสภาพการก่อสร้าง พบว่าหนักสุดคือสถานีตำรวจภูธรอำเภอนาหว้า เนื่องจากมีเพียงการก่อสร้างที่ทำได้เพียงการมัดเสาเหล็กรอการเทคอนกรีตจำนวนแค่ 10 ต้น แล้วถูกปล่อยทิ้งมานานนับปี ทั้งที่สภาพโรงพักที่ใช้งานปัจจุบัน ซึ่งเป็นแบบไม้ยกสูง 2 ชั้นกำลังอยู่ในสภาพเก่าทรุดโทรม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และประชาชนผู้มาใช้บริการไม่ได้รับความสะดวกสบายจากปัญหาสถานที่คับแคบ
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

จี้ผู้ว่าฯ เลยเปิดสัญญาจัดงานดอกฝ้ายบานฯ แฉผู้รับเหมาจ่ายแค่ 2 แสนแต่รับทรัพย์กว่า 8 ล้านบ.


เลย - กลุ่มรักษ์เมืองเลยรุกหนัก จี้ผู้ว่าฯ เลย ขอดูสัญญาสัมปทานการจัดงานดอกฝ้ายบานฯ ใครได้ผลประโยชน์ แฉผู้รับเหมาจ่ายแค่ 2 แสนบาท แต่รับทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาท ขู่หากทางจังหวัดยังปิดบังข้อมูล เตรียมฟ้องศาลปกครอง       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ก.พ.56 ที่ผ่านมา นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว ตัวแทนกลุ่มรักษ์เมืองเลย ได้ตั้งเวทีปราศรัยที่บริเวณสี่แยกไฟแดงถนนมลิวรรณ หน้าศาลากลาง เปิดเผยข้อมูลสัญญาสัมปทานรับเหมาจัดงานกาชาดดอกฝ้ายบาน มะขามหวานเมืองเลย และรอยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเลย แต่รอจนถึงเวลา 19.00 น.ก็ยังไม่มีตัวแทนจังหวัดมารับหนังสือแต่อย่างได
      
       โดยหนังสือฉบับดังกล่าวระบุว่า กลุ่มรักษ์เมืองเลยซึ่งเป็นกลุ่มมาตุภูมิที่มีสมาชิกของบุคคลในจังหวัดเลยหลากหลายอาชีพ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ชาวเลยได้เกิดการรับรู้-เข้าใจและรักษาซึ่งสิทธิอันพึงได้ตามครรลองอันชอบธรรมและตามกฎหมาย ได้ร่วมกับบุคคล-กลุ่ม-องค์กรแนวร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมคุณค่าของงานดอกฝ้ายฯ ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์นี้ โดยรูปแบบมีอาสาสมัครแจกจ่ายแถลงการณ์และจัดเวทีในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 เริ่มเวลา 15.00 น. ที่บริเวณไหล่ทาง (ฝั่งโรงพยาบาลเลย) สี่แยกไฟแดง จากการได้จัดรณรงค์ปรากฏว่ามีการเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดงานดอกฝ้ายฯ ได้แสดงและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา
      
       นายคุ้มพงษ์กล่าวว่า สัญญาสัมปทานการจัดงานดอกฝ้ายฯ เป็นกรณีที่ค้างคาใจของประชาชนมาช้านานว่ามีการจัดสรรผลประโยชน์กันอย่างไร ประชาชนคนเมืองเลยได้อะไรบ้าง ซึ่งตนทราบว่าการทำสัญญาจัดงานในปีนี้ ผู้รับเหมาจ่ายให้ทางจังหวัดเพียงประมาณ 2 แสนบาท แต่รายได้ของผู้รับเหมาตลอดทั้งงานมีไม่ต่ำกว่า 8 ล้านบาท ทางกลุ่มรักษ์เมืองเลยยังมีความเคลือบแคลงสงสัยว่าจะมีการจ่ายเงินให้กับผู้ใหญ่ในจังหวัดนอกเหนือจากที่ระบุในสัญญาอีกจำนวนเท่าไหร่ และเงินส่วนนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในกิจการของเหล่ากาชาดอย่างไรบ้าง
      
       หากเงินจำนวนที่ไม่เปิดเผยนี้เข้ากระเป๋าส่วนตัวของคนใดคนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าผู้จัดงานได้เอาคำว่าจังหวัดเลยมาหาผลประโยชน์ส่วนตัว ทางกลุ่มจึงมายื่นหนังสือในครั้งนี้
      
       “แต่หากการยื่นหนังสือครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบสนองจากทางจังหวัด ทางกลุ่มรักษ์เมืองเลยจะยื่นร้องขอต่อศาลปกครองให้เปิดเผยข้อมูลต่อไปตัวแทนกลุ่มรักษ์เมืองเลยกล่าว
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

ม.อุบลฯ มอบศูนย์เรียนรู้เกษตรมูลค่า 20 ล้านให้ลาว


อุบลราชธานี - ม.อุบลราชธานีส่งมอบสถานีฝึกปฏิบัติงานบ้านบาเจียง แหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรให้มหาวิทยาลัยจำปาสัก สปป.ลาว ใช้ฝึกนักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทดลอง
      
       วันที่ 7 ก.พ.56  ศ.นงนิตย์ ธีระวัฒนสุข อธิการบดีมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ส่งมอบสถานีใช้ฝึกปฏิบัติงานบ้านบาเจียงเจริญสุข แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อใช้เป็นศูนย์ทดลองกสิกรรมแบบผสมผสานภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ใช้พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยจำปาสักกับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
      
       สำหรับโครงการพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตรนี้เป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกับมหาวิทยาลัยจำปาสัก โดยมีวัตถุประสงค์พัฒนาศักยภาพของมหาวิทยาลัยจำปาสักในด้านการเกษตร และใช้เป็นสถานีฝึกปฏิบัติงานของนักเรียนนักศึกษามหาวิทยาลัยจำปาสัก และเป็นแหล่งเรียนรู้แก่บุคลากรภาครัฐและประชาชนทั่วไปของแขวงจำปาสัก และแขวงใกล้เคียง
      
       ซึ่งการดำเนินงานที่ผ่านมา อาจารย์จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีได้จัดการอบรมหลักสูตรด้านการเกษตรให้แก่บุคลากรของมหาวิทยาลัยและประชาชนทั่วไปแล้วจำนวน 6 หลักสูตร มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม 400 คน
      
       นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังสนับสนุนทุนการศึกษาแก่บุคลากรมหาวิทยาลัยจำปาสักศึกษาต่อระดับปริญญาเอกจำนวน 2 ทุน ปริญญาโท 6 ทุน และทุนใช้ฝึกอบรมสำหรับอาจารย์มหาวิทยาลัยจำปาสักอีก 3 ทุน
      
       รวมทั้งสนับสนุนการก่อสร้างสถานีฝึกปฏิบัติงานมูลค่า 20 ล้านบาท หรือ 5,000 ล้านกีบ การส่งมอบอาคารสถานีฝึกปฏิบัติงานบ้านบาเจียงเจริญสุขเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาได้รับเกียรติจากนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นประธานส่งมอบ และรองศาสตราจารย์ ดร.กองสี แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและการกีฬา สปป.ลาว เป็นผู้รับมอบ ซึ่งเชื่อว่าสถานีใช้ฝึกปฏิบัติงานนี้จะทำให้เกิดการพัฒนาและเป็นประโยนช์ต่อการเรียนรู้ของเยาวชนและบุคคลทั่วไปของประเทศลาว และเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือของทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคตด้วย
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

เปิดเวทีสาธารณะที่อุดรฯ ร่วมวางแผนโครงการรถไฟความเร็วสูง


อุดรธานี - กระทรวงคมนาคม เปิดเวทีสาธารณะกระตุ้นชาวอุดรธานี เข้ามามีส่วนร่วมวางแผนโครงการรถไฟความเร็วสูงมาอีสาน พื้นที่ย่อยที่ 4 ช่วงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น-อุดรธานี-สถานีหนองคาย      
       วันที่ 7 ก.พ.56  ณ ห้องประชุมประจักษ์ตราเฟิร์สคลาส โรงแรมประจักษ์ตรา ดีไซน์ โฮเทล จ.อุดรธานี นายเสนีย์ จิตตเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานเปิดการประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชน ครั้งที่ 1 ในโครงการศึกษาและออกแบบรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-นครราชสีมา โดยมีผู้มีส่วนได้เสียจากทั้งหน่วยงานราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนในพื้นที่โครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงร่วมรับฟัง
      
       นางชนินนาถ เก้าสำราญ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กรมขนส่งทางบก กล่าวว่า สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หนองคาย เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นเชื่อมโยงการเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ประตูแห่งอีสาน และยังเป็นการเชื่อมโยงไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น หากมีการพัฒนารถไฟความเร็วสูงในพื้นที่นี้ก็จะสามารถเดินทางไปยังกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้เคียงอื่นๆ โดยเฉพาะจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้สะดวกยิ่งขึ้น
      
       “ศักยภาพของรถไฟความเร็วสูงนั้น จะเป็นระบบที่ทันสมัย รวดเร็ว สะดวก ตรงเวลา มีความปลอดภัยสูง ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง รวมถึงช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน กระตุ้นการท่องเที่ยว
      
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถไฟความเร็วสูงจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น แต่การจะทำให้โครงการมีความรอบคอบ สมบูรณ์ จึงต้องรับฟังความคิดเห็นและข้อห่วงใยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น กระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข.จึงได้จัดการประชุมในครั้งนี้ เพื่อนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนให้มากที่สุด
      
       นางชนินนาถกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้จัดการประชุมรับฟังความเห็นขึ้นที่จังหวัดนครนายก สระบุรี และนครราชสีมา ในครั้งนี้จึงจัดขึ้นที่อุดรธานี โดยมีประชาชนจากจังหวัดขอนแก่น และหนองคายมาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในครั้งนี้ด้วย
      
       ในขั้นตอนต่อไปจะมีการประชุมย่อยเพื่อดำเนินการตามกระบวนการการรับฟังความเห็นของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อนำความเห็นและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์มาปรับปรุงศึกษาให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

ติวเข้มภาษาอังกฤษ-เขมร ตร.บุรีรัมย์เตรียมพร้อมสู่ “AEC”


บุรีรัมย์ - ติวเข้มทักษะภาษาอังกฤษ และภาษากัมพูชาให้ตำรวจบุรีรัมย์ รวมทั้งอาสาสมัครตำรวจ และ อปพร. เพื่อใช้สื่อสารอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ และ เตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC
      
       วันที่ 7 ก.พ.56  พล.ต.ต.รัฐพงษ์ ยิ้มใหญ่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) บุรีรัมย์ เป็นประธานเปิดอบรมโครงการ พัฒนาขีดความสามารถและทักษะบุคลากรของรัฐและอาสาสมัคร ด้านอำนวยความสะดวกและการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวให้แก่ข้าราชการตำรวจ อาสาสมัครตำรวจบ้าน อาสาสมัครตำรวจชุมชน และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ซึ่งกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์จัดขึ้น ที่ห้องประชุมวิชชาอัตตศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
      
       โดยการอบรมครั้งนี้ได้เน้นการพัฒนาทักษะด้านการใช้ภาษาอังกฤษ และภาษากัมพูชา ที่เป็นภาษาของประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารแนะนำแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งให้บริการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในเขตพื้นที่จังหวัดให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัยทั้งชีวิต และทรัพย์สิน โดยเฉพาะในปี 2558 ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาเที่ยวมากขึ้น
      
       พล.ต.ต.รัฐพงษ์กล่าวว่า การจัดอบรมในครั้งนี้เป็นการพัฒนาขีดความสามารถของข้าราชการตำรวจ ตำรวจบ้าน ตำรวจชุมชน และ อปพร. โดยเฉพาะทักษะด้านการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในจังหวัด และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ด้วย
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

“นายจ้างโคราช” เมินนำต่างด้าวขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติกว่าครึ่งหมื่น


นครราชสีมา - นายจ้างโคราชเมินนำแรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติกว่าครึ่งหมื่น หลังรัฐขยายเวลาเพิ่มอีก 120 วัน ด้านแรงงานจังหวัดฯ รุกทำความเข้าใจนายจ้าง ขู่หากไม่นำแรงงานต่างด้าวพม่า ลาว และเขมร มาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องมีความผิดตาม กม. และแรงงานจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง
      
       
วันที่ 7 ก.พ.56  น.ส.อัญชลี สินธุพันธ์ จัดหางานจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ผ่อนผันแรงงานต่างด้าวสัญญาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ลักลอบเข้ามาทำงานอยู่กับนายจ้างในประเทศไทย รวมถึงบุตรแรงงานต่างด้าวที่อายุไม่เกิน 15 ปี อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษ เป็นเวลา 120 วัน จากเดิมที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 55 เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานกับนายจ้างเดิมต่อไป โดยมีระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 55 สิ้นสุดในวันที่ 13 เม.ย. 56 หากนายจ้างไม่ดำเนินการจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนแรงงานต่างด้าวจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง
      
       สำหรับ จ.นครราชสีมามีแรงงานต่างด้าวทั้ง 3 สัญชาติขึ้นทะเบียนไว้ตั้งแต่ปี 2554 รวมทั้งสิ้น 7,700 คน ขณะนี้เข้ามาพิสูจน์สัญชาติเพียง 2,200 คนเท่านั้น คงเหลือแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่ดำเนินการพิสูจน์สัญชาติอีก 5,500 คน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวไม่รวมแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองและยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้
      
       ทั้งนี้ แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนพิสูจน์สัญชาติแล้วจะได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับแรงงานทั่วไป เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล ได้ค่าจ้างเงินเดือนตามที่กฎหมายกำหนด การประกันสุขภาพตามกฎหมาย การเดินทางสะดวก ไม่ต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่
      
       “วันนี้ทางสำนักงานฯ ได้เรียกประชุมผู้ประกอบการในจังหวัดกว่า 200 ราย เพื่อทำความเข้าใจและเร่งนำแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในความดูแลมาขึ้นทะเบียนและพิสูจน์สัญชาติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ตามระยะเวลาที่ภาครัฐผ่อนผันให้ และหากไม่ดำเนินการถือว่าผู้ประกอบการมีความผิดตามกฎหมาย และแรงงานต่างด้าวจะต้องถูกผลักดันกลับประเทศต่อไปน.ส.อัญชลีกล่าว
      
       น.ส.อัญชลีกล่าวอีกว่า ตัวเลขผู้ว่างงานใน จ.นครราชสีมาล่าสุดเป็นปกติยังไม่เห็นผลกระทบจากการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาททั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน จ.นครราชสีมายังขาดแคลนแรงงานอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมระดับล่าง วุฒิการศึกษา ปวช., ปวส. อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ถูกเลิกจ้างมาขึ้นทะเบียนประกันการว่างงานเพื่อขอสิทธิประโยชน์ด้านประกันสังคมเฉลี่ยประมาณเดือนละ 1,000 ราย
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

จนท.พาณิชย์เข้าให้ปากคำคดีมันจำนำหาย 250 ล้าน



บุรีรัมย์ - ชุดเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์นำหลักฐานพร้อมภาพถ่ายขณะเข้าตรวจลานมันทั้ง 3 แห่งที่ถูกแจ้งจับ ยักยอกมันโครงการจำนำของรัฐบาลกว่า 34,000 ตัน เสียหาย 250 ล้าน เข้าให้ปากคำตำรวจบุรีรัมย์ ก่อนออกหมายเรียกเจ้าของบริษัทรับทราบข้อกล่าวหา ยันพบเชื่อมโยงถึงใครเอาผิดทุกราย
       
       วันที่ 6 ก.พ.56 ที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ นายวรินทร จันทร์กล่ำ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กรมการค้าภายใน พร้อมด้วยนายนวพล อรุณฤกษ์ถวิล นักวิชาการพาณิชย์ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นชุดเฉพาะกิจกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้เข้าตรวจสอบลานมันทั้ง 3 แห่ง ซึ่งถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกมันสำปะหลัง โครงการรับจำนำปี 2554/55 ของรัฐบาลกว่า 34,000 ตัน ความเสียหายกว่า 250 ล้านบาท นำหนังสือคำสั่งของอธิบดีกรมการค้าภายใน พร้อมภาพถ่ายขณะเข้าตรวจสอบลานมันทั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท แสงอีสานการเกษตร จำกัด บริษัท ชโลบลอินเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่มาเปิดรับจำนำมันที่ อ.หนองกี่ และ บริษัท ธงฟ้าเทรดดิ้ง จำกัด ที่มาเปิดรับจำนำมันที่ อ.ละหานทราย เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน โดยมี พ.ต.อ.วิรัตน์ ถาดทอง รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ควบคุมการสอบปากคำด้วยตัวเอง
     
       จากการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจให้ข้อมูลว่า ได้เข้าตรวจสอบลานมันตามคำสั่งของอธิบดีกรมการค้าภายใน แต่กลับไม่พบมันในลาน และเมื่อสอบถามเจ้าของก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าหายไปไหน จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามขั้นตอน พร้อมประสานองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในฐานะคู่สัญญาเข้าแจ้งความดำเนินคดี
     
       ทั้งนี้ หลังจากสอบปากคำเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานสอบสวนจะรวบรวมข้อมูลหลักฐานออกหมายเรียกบริษัทเจ้าของลานมันทั้ง 3 แห่งมาสอบปากคำ และแจ้งข้อกล่าวหา แต่หากฝ่าฝืนไม่มารับทราบข้อกล่าวหาก็จะออกหมายจับต่อไป
     
       พ.ต.อ.วิรัตน์กล่าวว่า จากผลการสอบปากคำหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งพาณิชย์จังหวัด การค้าภายในจังหวัด อคส. และชุดเฉพาะกิจ พบว่าลานมันทั้ง 3 แห่งมีเจตนายักยอกมันสำปะหลังจริง ซึ่งจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป และหากพบข้อมูลเชื่อมโยงถึงใครก็จะเอาผิดทุกรายโดยไม่ละเว้น ถึงแม้ อคส.และเจ้าของบริษัทในฐานะคู่สัญญาจะเจรจาตกลงกันได้ แต่ทางคดีอาญาต้องดำเนินการต่อไปตามกระบวนการ
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

อบจ.อำนาจเจริญร่วมเอกชนสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะ


อำนาจเจริญ - อบจ.ลงนามความร่วมมือโครงการบริหารจัดการ และใช้ประโยชน์จากการแปลงขยะให้เป็นพลังงาน แก้ปัญหาขยะล้นเมือง       
       วันที่ 6 ก.พ.56 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อำนาจเจริญว่า นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อำนาจเจริญ ลงนามความร่วมมือกับบริษัท เอซีอี แอดวานซ์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยนายภวัชฏ์ศัณฒ์ รัชชะจิตติ กรรมการผู้มีอำนาจ เพื่อบริหารจัดการและใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอย โดยนำขยะมาแปลงเป็นพลังงาน
      
       นายศักดิ์ชัยกล่าวว่า ปัจจุบันมีขยะที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาลในจังหวัดจัดเก็บมาวันละ 25-30 ตัน ทำให้สถานที่ทิ้งขยะเริ่มมีปัญหา ไม่มีที่ฝังกลบแล้ว เพราะที่ผ่านมามีขยะฝังกลบอยู่ 130,000 ตันในพื้นที่ 120 ไร่ หากไม่มีระบบกำจัดที่ดีจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคตอันใกล้นี้ จึงหารือกับนายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ผู้ว่าราชการจังหวัด และหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อหาแนวทางจัดการขยะไม่ให้ล้นเมือง โดยนำขยะกลับมาใช้ในรูปของพลังงานทดแทน ซึ่งบริษัทมีความชำนาญและประสบการณ์ในการสร้างโรงกำจัดการขยะ และนำกลับมาใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า จึงได้ทำข้อตกลงร่วมกันดังกล่าว
      
       ด้านนางปริญ อิสริยาพร ผู้แทนบริษัท กล่าวว่า โรงงานบริหารจัดการขยะมูลฝอยเพื่อแปลงขยะเป็นพลังงานสามารถนำกลับมาใช้ผลิตเป็นไฟฟ้าได้วันละ 5-6 เมกะวัตต์ โดยใช้ขยะ 300 ตันต่อวันเป็นเชื้อเพลิง สำหรับงบประมาณดำเนินการกว่า 900 ล้านบาท โดย 25% ของเงินลงทุนใช้สำหรับควบคุมและกำจัดมลพิษจากปล่องควัน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีผลกระทบต่อชุมชน และในอนาคตบริษัทมีนโยบายจะพัฒนาโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทดแทนจากการกำจัดขยะในภาคอีสานอีก 2 โรง สำหรับ จ.อำนาจเจริญถือเป็นจังหวัดแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้
ข้อมูลจาก.. ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ศรีสะเกษขึ้นป้ายใหญ่ต้านศาลโลก จี้ทหารไล่เขมรพ้น 4.6 ตร.กม.เขาพระวิหาร




ศรีสะเกษ - “กลุ่มกำลังแผ่นดินภาค ปชช.ศรีสะเกษขึ้นป้ายค้านอำนาจศาลโลก จี้ทหารผลักดันเขมรออกไปจากแผ่นดินไทย 4.6 ตร.กม.
      
       เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 21 ม.ค.56 ที่สี่แยกเมืองทอง ศาลหลักเมืองกันทรลักษ์ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายกิติศักดิ์ พ้นภัย หัวหน้ากลุ่มกำลังแผ่นดิน พร้อมสมาชิกกลุ่มนำป้ายขนาดใหญ่มาติดตั้ง ข้อความระบุว่า พวกเราชาวไทย คัดค้านไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก ICJ We Thai people Object refuse power limits of world court” คำตัดสินของศาลโลก (ลวงโลก) เมื่อปี 2505 เราเชื่อว่าไม่มีความยุติธรรม ขัดต่อหลักภูมิศาสตร์ ทั้งสันปันน้ำ การปกครองแต่ดั้งเดิม ขอคัดค้านไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก โดยขอให้กองทัพและประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ร่วมกันผลักดันทหารกัมพูชาและชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทยพ้นเขาพระวิหารพื้นที่ 4.6 ตางรางกิโลเมตรโดยเร็ว ขอปกป้องดินแดนไทยเขาพระวิหาร คนไทยเราไม่ยอมให้ตกเป็นของชาติใดอย่างเด็ดขาด..ทุกวิถีทาง ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวกันทรลักษ์ที่สัญจรไปมาเป็นอย่างมาก
      
       นายกิติศักดิ์กล่าวว่า พวกเราชาวไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลก เนื่องจากเห็นว่าพิจารณาคดีกรณีปราสาทพระวิหารปี 2505 อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลและชาวไทยทั้งประเทศร่วมกันคัดค้านอำนาจของศาลโลก กรณีตีความคดีปราสาทพระวิหาร และเรียกร้องให้ทหารไทยร่วมกับประชาชนผู้รักชาติช่วยกันผลักดันทหารกัมพูชาและชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารโดยเร็ว เพราะตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นของไทย
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บ้านโศกขามป้อม ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของกลุ่มธรรมยาตรากอบกู้ผืนแผ่นดินไทย กรณีเขาพระวิหารและมณฑลบูรพา ปรากฏว่านายสมาน ศรีงาม แกนนำกลุ่มธรรมยาตราฯ และคณะ เดินทางไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้นำอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 มาใช้แก้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา จึงมีเพียงนายผัน กิจแสง อายุ 78 ปี อยู่เฝ้าสถานที่ชุมนุมตามลำพัง โดยมีตำรวจ สภ.บึงมะลูผลัดเปลี่ยนกันมาเฝ้ารักษาความปลอดภัย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

กต.-ทภ.2 เวิร์กชอป แลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาเขตแดนไทย-ลาว หลังขัดแย้งที่ทำกินบ่อย




อุดรธานี - กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกองทัพภาคที่ 2 เชิญตัวแทนหน่วยงานตามแนวชายแดนสัมมนาเส้นเขตแดนไทย-ลาว กรณีปัญหาเกาะ-ดอน หลังประชาชนสองฝั่งขัดแย้งเรื่องที่ทำกินบ่อยครั้ง พร้อมเตรียมเผยแพร่ข้อมูลให้ชาวบ้านนำไปปฏิบัติลดข้อพิพาท
      
       วันที่ 21 ม.ค.56  กระทรวงการต่างประเทศ และกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 ร่วมกันประชุมเชิงปฏิบัติการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาเส้นเขตแดนไทย-ลาว ในระดับพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยมี พล.ต.ประวิทย์ หูแก้ว เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 เป็นประธานเปิดการประชุมที่โรงแรมนภาลัย อ.เมือง จ.อุดรธานี มีทหาร ฝ่ายปกครอง และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวชายแดนรวม 63 คนเข้าร่วม
      
       พล.ต.ประวิทย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากแนวลำน้ำเหือง และแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนประเทศไทยและลาวที่มีระยะทาง 804 กิโลเมตร และจากสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส เกิดปัญหาเรื่องความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดน และกรรมสิทธิ์เหนือเกาะ-ดอน ตามแนวลำน้ำเหืองและแม่น้ำโขง รวมถึงความเกี่ยวพันในการดำรงชีวิตประจำวันของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งบ่อยครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายไทยเสียเปรียบมาโดยตลอดเนื่องจากความไม่เข้าใจปัญหาและแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนของคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนไทย-ลาวระดับพื้นที่ รวมทั้งหน่วยงานความมั่งคงและประชาชนในพื้นที่
      
       “ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทในการสำรวจ จัดทำหลักเขตแดนน้ำร่วมกัน คาดว่าจะมีหลายพื้นที่น่าจะเป็นปัญหาไม่สามารถตกลงกันได้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ ดังนั้นการสัมมนาในครั้งนี้ก็เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความรู้ และระดมแนวคิดในการแก้ปัญหาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การแก้ไขเส้นเขตแดนของฝ่ายไทยไม่เสียเปรียบ และเพื่อให้ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครองสามารถให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่ เรื่องอนุสัญญาสยาม- ฝรั่งเศส พ.ศ. 2469 ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องการทำกินบนเกาะ-ดอน และเพื่อปลุกจิตสำนึกประชาชนต่อการรักษาความมั่นคงและป้องกันอธิปไตยด้วย
      
       พล.ต.ประวิทย์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะไม่เอาไปใช้พิจารณาผลักดันการปักปันแบ่งเส้นเขตแดน แต่เพียงเป็นการสื่อสารกับประชาชนของเราเวลาออกไปทำมาหากินว่าควรทำเช่นไร จะได้ไม่มีเงื่อนไขตามมาทีหลัง หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหรือมีปัญหาอะไรควรจะทำอย่างไร ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป แต่หากเห็นว่าฝั่งเขามาทำอะไร จะมีปัญหากับเราไหม หรือเข้ามารุกล้ำ ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบ
      
       “การปักปันเขตแดนทางบก เรามีคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือเจบีซีดูแล โดยในส่วนของภาคอีสานตอนบน 5 จังหวัดปักปันเขตแดนไปแล้วถึง 96%”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์สั่งเชือดยกแก๊ง โกงจำนำมัน 212 ล้าน สกัดเข้มมันเขมรสวมสิทธิ




 บุรีรัมย์ - ผู้ว่าฯ กำชับ ตร.สอบเอาผิดแก๊งโกงจำนำมัน 212 ล้านถึงที่สุด ลากคอผู้ร่วมขบวนการ-ผู้บงการมาดำเนินคดีทุกราย พร้อมเชือด จนท.รัฐเอี่ยวทั้งวินัยและอาญา พร้อมขึ้นบัญชีดำลานมันทุจริต สั่งฝ่ายปกครอง อำเภอ ร่วมตำรวจ-ทหารคุมเข้มป้องกันลอบนำมันเขมรสวมสิทธิ
      
       วันที่ 21 ม.ค.56  ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) แจ้งความเอาผิดลานมันสำปะหลัง 2 แห่ง คือ บริษัท แสงอีสานการเกษตร จำกัด และบริษัท ชโลบล อินเตอร์ไพร์ส จำกัด ตั้งอยู่ใน อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี 2554/55 หลังพบว่ามันสำปะหลังหายไปกว่า 3 หมื่นตัน ทำให้รัฐเสียหายกว่า 212 ล้านบาท โดยเชื่อว่าทำเป็นขบวนการ และมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น
      
       ล่าสุด นายอภินันท์ จันทรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้กำชับให้ตำรวจชุดสืบสอบดำเนินการสอบเอาผิดจนถึงที่สุด พร้อมทั้งให้ขยายผลสาวถึงผู้ร่วมขบวนการ และผู้บงการทุกคนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย โดยเฉพาะหากมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษสถานหนักทั้งทางวินัยและอาญาไม่มีละเว้น อย่างไรก็ตาม ได้กำชับให้พนักงานสอบสวนให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ซึ่งล่าสุดผู้เกี่ยวข้องทั้ง 2 บริษัทได้รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว แต่ให้การปฏิเสธ
      
       “การกระทำดังกล่าวทำให้โครงการของรัฐได้รับความเสียหาย อีกทั้งเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี 2555/56 และไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้คิดจะทำการทุจริตอีก จึงต้องดำเนินการขั้นเฉียบขาดเพราะถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล
      
       นายอภินันท์กล่าวว่า สำหรับการรับจำนำมันสำปะหลังฤดูกาลผลิต ปี 2555/56 จะลงไปควบคุมดูแลด้วยตัวเอง พร้อมทั้งให้คณะกรรมการติดตามกำกับดูแลการรับจำนำมันระดับจังหวัด และคณะอนุกรรมการระดับอำเภอเฝ้าติดตามดูขบวนการทุจริตอย่างใกล้ชิด ร่วมกับตำรวจที่ได้มีการแต่งตั้งให้ไปร่วมควบคุมดูแล หากพบบริษัทหรือเจ้าของลานมันจงใจไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้จะถูกขึ้นบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์ และไม่สามารถเข้าร่วมโครงการกับรัฐบาลได้อีก
      
       นอกจากนี้ ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีการเปิดจุดผ่อนปรนแลกเปลี่ยนสินค้าชายแดนไทย-กัมพูชาที่บริเวณช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด ในทุกวันศุกร์ และวันเสาร์ ได้มีการคุมเข้มนำเข้าสินค้าจากกัมพูชาเป็นพิเศษด้วย โดยเฉพาะมันสำปะหลัง และข้าวเปลือกเป็นสินค้าต้องห้ามที่ไม่ให้มีการนำมาจำหน่ายแลกเปลี่ยนซื้อขายกันอยู่แล้ว
      
       “เพื่อป้องกันการลักลอบขนย้ายลำเลียงมันสำปะหลังผ่านเข้า-ออกในพื้นที่ จึงได้สั่งการให้ฝ่ายปกครอง และทางอำเภอประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารในพื้นที่ตามแนวชายแดนในการคุมเข้มตรวจตราเฝ้าระวัง พร้อมตั้งจุดตรวจสกัด เพื่อตรวจสอบรถบรรทุกที่ต้องสงสัยคาดว่าจะมีการลักลอบขนย้ายมันสำปะหลังลำเลียงมาตามเส้นทางต่างๆนายอภินันท์กล่าว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


กรมเจ้าท่าเล่นเล่ห์ ลอบขุดลำพะเนียง แต่ชาวบ้านขวาง ยันแบบแปลนไม่มี ไม่ให้ขุด




หนองบัวลำภู - กรมเจ้าท่าเข้าขุดลอกลำน้ำและที่ดินริมตลิ่งลำน้ำพะเนียง แต่ถูกชาวบ้านเจ้าของที่ดินขัดขวาง และให้ยุติการขุดลอก อ้างถ้าไม่มีแบบแปลนจะไม่ให้ดำเนินการเด็ดขาด
      
       วันที่ 21 ม.ค.56  ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.หนองบัวลำภูว่า เมื่อบ่ายวันที่ 20 มกราคม กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี หรือกรมเจ้าท่า ได้เข้าขุดลอกขยายลำน้ำและที่ดินบริเวณริมตลิ่ง ตามโครงการปีงบประมาณ 2555 โครงการจ้างเหมาขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในประเทศ ลำน้ำลำพะเนียง ต.บ้านขาม อ.เมือง โดยได้ขุดลอกที่ดินริมตลิ่งจนเลยเข้ามายังที่ดินของนางอุทัยวรรณ์ พรังสาลี ทำให้ไม้ยืนต้น เช่น ยูคาลิปตัส สะแก มะขามที่ปลูกไว้เพื่อรักษาหน้าดินไม่ให้ตลิ่งทรุดโค่นล้มได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ยังขุดหน้าดินริมตลิ่งเดิมเพื่อปรับระดับตลิ่งเป็น 2 ชั้นขั้นบันได มีความสูงจากลำน้ำกว่า 20 เมตร เข้าไปในที่ดินของนางอุทัยวรรณ์อีกประมาณ 100 เมตร ซึ่งนางอุทัยวรรณ์และสามีได้เข้าห้ามปรามได้ทันท่วงที ก่อนที่จะขยายเข้าไปยังที่ดินส่วนอื่นๆ จนผู้เข้าควบคุมงานยอมยุติการขุดลอก พร้อมกับขอโทษ และยินยอมเกลี่ยที่ดินริมตลิ่งคืนดังเดิม
      
       นางอุทัยวรรณกล่าวว่า ช่วง 2 วันที่ผ่านมาเห็นฝ่ายสำรวจพื้นที่ขับรถกระบะเข้ามายังที่ดินของตน แต่ไม่ได้มาพูดคุยและสอบถามใดๆ แล้ววันนี้ก็มาขุดลอกโดยที่เจ้าของที่ดินไม่รับรู้ ซึ่งจะยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมเจ้าท่าว่าไม่ยินยอมให้มีการขุดลอกอีกเพราะหวั่นผลกระทบจะตามมาภายหลัง
      
       “จะเข้ามาทำอะไรไม่เคยบอกเราเลย แอบทำเหมือนโจร ทำเสร็จก็ทิ้งความเสียหายไว้ให้เรา ที่ผ่านมากลุ่มอนุรักษ์ลำพะเนียงทำหนังสือไปถึงหลายครั้งแล้วว่าจะไม่ยอมให้ขุดลอกถ้าไม่มีแบบแปลนให้ดูว่าขุดกว้างยาวเท่าไหร่ พวกเรากลัวผลกระทบ เพราะทุกวันนี้เอาน้ำจากลำพะเนียงมาใช้ก็ลำบากอยู่แล้วเพราะความสูงชันของตลิ่ง ยังมาขุดให้มันสูงขึ้นไปอีก ทำแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์แน่ๆ
      
       ด้านตัวแทนผู้ควบคุมงานจากกรมเจ้าท่าแจ้งเจ้าของที่ดินว่า ได้รับอนุญาตจากกำนันในพื้นที่ให้เข้ามาขุดลอกบริเวณนี้ได้ แต่เมื่อมาถึงพื้นที่แล้วเจ้าของที่ดินไม่ยินยอมก็จะยุติ ตามที่เคยตกลงกับทางกลุ่มชาวบ้านไว้ พร้อมทั้งจะปรับที่ดินที่ขุดขยายไปให้คืนมาดังเดิม
      
       สำหรับโครงการจ้างเหมาขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำภายในประเทศ ลำน้ำลำพะเนียง จ.หนองบัวลำภู ดำเนินการโดยกรมเจ้าท่า ตั้งแต่บ้านทานตะวัน ต.หนองบัว ถึงบ้านโคกกลาง ต.ป่าไม้งาม อ.เมือง ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร แต่ช่วงก่อนดำเนินโครงการชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์และฟื้นฟูลุ่มน้ำลำพะเนียง และชาวบ้านที่มีที่ดินติดลำน้ำพะเนียงได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมเจ้าท่าขอให้มีการชะลอการขุดลอก เพราะเกรงว่าได้รับผลกระทบเหมือนปี 2547 ที่กรมชลประทานเข้ามาดำเนินการจนต้องสูญเสียที่ดิน ตลิ่งทรุด และพังทลาย คันดินสูงจนไม่สามารถนำน้ำมาใช้ทำการเกษตรได้ ซึ่งทางกรมเจ้าท่าได้เคยพูดคุยและตกลงว่าจะไม่ดำเนินการในส่วนที่ดินของผู้ที่ไม่ยินยอมให้ขุดลอก แต่กลับเข้าขุดลอกโดยไม่ได้รับอนุญาต

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แล้งจัดทำน้ำโขงแห้งเร็ว ต้นทุนขนส่งเพิ่มต้องแล่นเรืออ้อมสันดอนทราย




นครพนม - ตามคาด แม่น้ำโขงแห้งเร็วจนเห็นหาดทรายโผล่แล้ว เริ่มส่งผลกระทบต่อการเดินเรือขนส่งสินค้าจุดผ่อนปรนไทย-ลาวอำเภอท่าอุเทน ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นเพราะต้องแล่นเรืออ้อมสันดอนทรายทำให้ระยะทางขนส่งใช้เชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้น
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 18 ม.ค.56  ที่จุดผ่อนปรนไทย-ลาว อำเภอท่าอุเทน หลังจากระดับน้ำโขงลดลงเร็วขึ้นในปีนี้ ล่าสุดปริมาณน้ำอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เมตร ได้เกิดสันดอนทรายโผล่บริเวณกลางแม่น้ำโขงเป็นพื้นที่กว้างหลายจุด เริ่มเป็นอุปสรรคในการเดินเรือสัญจรขนส่งสินค้าไปมาระหว่างไทย-ลาว ของอำเภอท่าอุเทน และเมืองหินบูน แขวงคำม่วน สปป.ลาว
      
       ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการทำธุรกิจค้าขายระหว่างชายแดนไทย-ลาว ที่มีประชาชนชาวลาวนำสินค้ามาวางขาย และซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคกลับไปขาย ทำให้ทุกสัปดาห์มีตัวเลขเศรษฐกิจหมุนเวียนวันละไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านบาท
      
       นายสมาน สาหัส อายุ 50 ปี ชาวบ้านที่ดูแลการเดินเรือข้ามฟาก กล่าวว่า ในช่วงนี้บริเวณตลาดจุดผ่อนปรนกำลังเริ่มประสบปัญหาจากแม่น้ำโขงแห้งทำให้เกิดสันดอนทรายเป็นพื้นที่กว้างกลางแม่น้ำโขง สร้างอุปสรรคในการเดินเรือสัญจรไปมาระหว่างไทย-ลาว ต้องอ้อมสันดอนทรายที่ขวางทางเดินเรือ ส่งผลให้เพิ่มระยะเวลาการเดินทาง ค่าใช้จ่ายมากขึ้นเท่าตัว
      
       โดยในปีนี้เพิ่งเข้าสู่เดือนมกราคมแต่น้ำโขงกลับแห้งแล้ว ยิ่งถึงเดือนมีนาคม-เมษายนยิ่งจะกระทบหนัก คือชาวเรือต้องใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นเพราะระยะทางเดินเรือไกลขึ้นคือต้องขับเรืออ้อมสันดอนทราย ขณะที่การบรรทุกสินค้าได้น้อยลงลดปัญหาเรือหนักกินน้ำลึกอาจทำให้เรือติดทรายใต้น้ำ
      
       อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไขไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไม่สามารถย้ายได้ เพราะต้องมีการขออนุญาตระดับกระทรวงมหาดไทยจึงเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้น ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนที่เดินทางผ่านไปมาต้องยอมแบกภาระค่าใช้จ่าย เพราะความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติไม่สามารถป้องกันได้ ยิ่งบางปีน้ำโขงแห้งหนักอาจต้องหยุดการเดินเรือชั่วคราว
      
       แต่หากไปใช้การขนส่งผ่านสะพานข้ามแม่น้ำโขง จะต้องมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายการขนส่ง และขั้นตอนการผ่านแดนที่ยุ่งยาก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์